top of page
1.jpg

เสียงร้องน้องเหมียวแบบต่างๆ 

เสียงร้องของแมวแบบต่างๆ: ภาษาแห่งอารมณ์และความรู้สึกของเจ้าเหมียว

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เพียงแต่พฤติกรรมที่น่ารักหรือท่าทางที่ขี้อ้อนเท่านั้น แต่เสียงร้องของแมวยังสะท้อนถึงอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย การเรียนรู้และเข้าใจเสียงร้องของแมวจะช่วยให้เจ้าของสามารถดูแลพวกเขาได้ดีขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักเสียงร้องแบบต่างๆ ของแมว รวมถึงความหมายเบื้องหลังเสียงเหล่านั้น

2.jpg
3.jpg

1. เสียงครางในลำคอ หรือ "เพอร์ (Purr)"

เสียง "เพอร์" คือเสียงครางเบาๆ ที่เกิดขึ้นในลำคอของแมว โดยมักจะได้ยินเวลาที่พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว หรือมีความสุข เสียงนี้เปรียบเสมือน "รอยยิ้ม" ของแมว เป็นสัญญาณว่าเขารู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจเจ้าของ

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมที่พบว่าเสียง "เพอร์" อาจช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูร่างกายของแมวได้ เช่น ช่วยลดความเจ็บปวด หรือเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่เรามักได้ยินเสียงนี้ในแมวที่กำลังพักผ่อน

2. เสียงร้อง "หง่าว"

หากคุณได้ยินเสียง "หง่าว" ที่ดังและยาวจากแมวตัวโปรดของคุณ อาจเป็นสัญญาณว่าเขากำลังอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยเฉพาะในแมวที่ยังไม่ได้ทำหมัน เสียงนี้มีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องความสนใจจากแมวตัวอื่น และอาจจะดังมากในเวลากลางคืน

สำหรับเจ้าของที่ไม่ต้องการเผชิญกับเสียง "หง่าว" นี้บ่อยๆ การพาแมวไปทำหมันจะช่วยลดพฤติกรรมนี้ได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์อีกด้วย

3. เสียงร้องขู่พร้อมแยกเขี้ยว

เสียงขู่มักจะมาพร้อมกับท่าทางป้องกันตัว เช่น แยกเขี้ยว หลังโก่ง หางฟู หรือแม้กระทั่งการตบหน้าเจ้าคู่กรณี เสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ความก้าวร้าว หรือการเตือนว่า "อย่าเข้ามาใกล้!"

หากได้ยินเสียงนี้ สิ่งที่ควรทำคือการให้พื้นที่กับแมว อย่าพยายามเข้าไปปลอบโยนหรืออุ้ม เพราะอาจทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม

4. เสียง "แชทเทอร์" หรือเสียงสั่นรัวๆ

เสียงแชทเทอร์เป็นเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อแมวเห็นเหยื่อที่อยู่นอกหน้าต่าง เช่น นกหรือหนู เสียงนี้มักมาพร้อมกับการกระตุกของขากรรไกร และสายตาที่จับจ้องเป้าหมายอย่างไม่วางตา

นักพฤติกรรมสัตว์เชื่อว่าเสียงนี้แสดงถึง "ความพร้อมในการล่า" ของแมว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการระบายความหงุดหงิดที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงเหยื่อได้

5. เสียงคำราม

เสียงคำรามเป็นเสียงที่หายากในแมวบ้าน แต่ถ้าคุณได้ยินเสียงนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าแมวรู้สึกไม่สบายตัว หรือรู้สึกถึงภัยคุกคาม เสียงคำรามมักจะลากยาวและมีความเข้มข้น

หากได้ยินเสียงนี้จากแมวของคุณ สิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการอื่นๆ เช่น การกิน การขับถ่าย หรือท่าทางผิดปกติ หากพบว่ามีปัญหา อาจจำเป็นต้องพาเขาไปพบสัตวแพทย์

การทำความเข้าใจแมวผ่านเสียงร้อง

แม้ว่าแมวจะพูดไม่ได้ แต่เสียงร้องต่างๆ ที่พวกเขาแสดงออกมาเปรียบเสมือนภาษาส่วนตัวที่ช่วยให้เรารับรู้ถึงความต้องการของพวกเขา อย่าลืมสังเกตและทำความเข้าใจเสียงเหล่านี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนขนฟูของคุณ

เคล็ดลับ: หากแมวของคุณมีพฤติกรรมร้องผิดปกติที่ไม่เคยแสดงมาก่อน อาจเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ควรพาเขาไปตรวจอย่างเร็วที่สุด

คราบน้ำตาในน้องสุนัข

คราบน้ำตาในน้องสุนัข: สาเหตุและวิธีบรรเทาอาการ

หากคุณเป็นเจ้าของสุนัข คุณอาจเคยสังเกตเห็นคราบน้ำตาสีน้ำตาลที่บริเวณใต้ดวงตาของพวกเขา คราบน้ำตานี้เกิดจากสารที่เรียกว่า พอร์ไฟลิน (Porphyrin) ซึ่งพบได้ในน้ำตา น้ำลาย และสารคัดหลั่งอื่นๆ ของสุนัข โดยสารนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดสีแดงหรือน้ำตาลเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน คราบน้ำตาไม่เพียงแต่ทำให้รูปลักษณ์ของสุนัขดูไม่สะอาด แต่ยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการดูแล

ในบทความนี้ เราจะพูดถึง สาเหตุของคราบน้ำตา และ วิธีบรรเทาอาการ เพื่อช่วยให้สุนัขของคุณมีสุขภาพที่ดีและดูสดใส

สาเหตุของคราบน้ำตาในน้องสุนัข

  1. การระคายเคืองของดวงตา
    ดวงตาของสุนัขเป็นอวัยวะที่ไวต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจเข้าตา ทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นการหลั่งน้ำตา นอกจากนี้ ขนตาที่ขึ้นผิดตำแหน่งและทิ่มเข้าไปในดวงตาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อย

    วิธีดูแล:

    • ใช้น้ำยาล้างตาสำหรับสัตว์เลี้ยงเช็ดทำความสะอาดดวงตาอย่างอ่อนโยน

    • หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบและรับการรักษา

  2. ลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์

    • หมั่นเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของคราบน้ำตา

    • ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำยาทำความสะอาดสำหรับสุนัขในการเช็ด

  3. สุนัขบางสายพันธุ์ เช่น ชิสุ ปั๊ก บูลด็อก หรือสายพันธุ์ที่มีใบหน้าสั้นและเบ้าตาตื้น มีโอกาสเกิดคราบน้ำตาได้มากกว่า เนื่องจากน้ำตาของพวกเขามักจะไหลออกมามากกว่าปกติ

    วิธีดูแล:

  4. โรคของดวงตา
    คราบน้ำตาอาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ตาอักเสบ ต้อหิน ต้อกระจก หรือการอุดตันของท่อน้ำตา ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์

    วิธีดูแล:

    • สังเกตสัญญาณผิดปกติ เช่น การขยี้ตาบ่อย ตาแดง หรือการหลั่งน้ำตามากผิดปกติ

    • รีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
       

วิธีบรรเทาและป้องกันการเกิดคราบน้ำตา

นอกจากการดูแลตามสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว เจ้าของยังสามารถป้องกันการเกิดคราบน้ำตาในสุนัขได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้:

  1. เลือกอาหารที่เหมาะสม
    อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในสุนัข ลองเลือกอาหารที่ไม่มีสารกันบูดหรือสีผสมอาหาร และเน้นสูตรที่ช่วยบำรุงดวงตา

  2. รักษาความสะอาดรอบดวงตา
    ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำ โดยเฉพาะในสุนัขที่มีคราบน้ำตาง่าย เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก

  3. จัดการขนรอบดวงตา
    หากสุนัขของคุณมีขนยาวรอบดวงตา ควรเล็มขนให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสที่ขนจะทิ่มดวงตาและกระตุ้นให้เกิดน้ำตาไหล

  4. พบสัตวแพทย์เป็นประจำ
    การตรวจสุขภาพและดวงตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและแก้ไขได้ทันเวลา

คราบน้ำตาในสุนัขอาจเป็นเรื่องปกติในบางกรณี แต่ในบางครั้งก็อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแล เจ้าของควรหมั่นสังเกตและดูแลดวงตาของสุนัขอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสดใสและมีความสุขในทุกวัน หากพบปัญหาที่เกินการดูแลด้วยตนเอง อย่าลังเลที่จะปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเพื่อนรักสี่ขาของคุณ 🐶💖

433269385_891218373014011_312746373148009896_n.jpg

สีเหงือกบ่งบอกสุขภาพ

สีเหงือกของสัตว์เลี้ยง: สัญญาณสุขภาพที่เจ้าของไม่ควรมองข้าม

เหงือกเป็นอวัยวะที่มักถูกมองข้าม แต่จริงๆ แล้ว เหงือกของสัตว์เลี้ยงสามารถเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพที่สำคัญได้ โดยเฉพาะในสุนัขและแมว สีของเหงือกไม่เพียงแค่บ่งบอกถึงสุขภาพทั่วไป แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่อาจซ่อนอยู่ในร่างกาย การตรวจสอบสีเหงือกของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เจ้าของสามารถเฝ้าระวังสุขภาพของพวกเขาได้

สีเหงือกและความหมายทางสุขภาพ
 
1. สีชมพู (ปกติ)
เหงือกสีชมพูสดใสเป็นสัญญาณว่าระบบไหลเวียนเลือดของสัตว์เลี้ยงทำงานได้ตามปกติ หมายความว่าออกซิเจนและสารอาหารถูกลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ควรทำ:
  • หากเหงือกของสัตว์เลี้ยงเป็นสีชมพูอยู่เสมอ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ควรตรวจสอบเป็นประจำ เพราะความผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้
2. สีขาวหรือซีด
เหงือกที่ขาวหรือซีดอาจเป็นสัญญาณของ ภาวะเลือดจาง (Anemia) หรืออาจบ่งบอกว่าสัตว์เลี้ยงกำลังมีอาการช็อค ซึ่งมักเกิดจากการสูญเสียเลือดอย่างรุนแรง การติดเชื้อ หรือภาวะขาดสารอาหาร
สัญญาณร่วมอื่นๆ:
  • เฉื่อยชา
  • หายใจเร็ว
  • ชีพจรอ่อน
สิ่งที่ควรทำ:
  • หากพบว่าเหงือกของสัตว์เลี้ยงซีดหรือขาวผิดปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันทีเพื่อหาสาเหตุและรักษา
3. สีม่วงเข้มหรือคล้ำ
เหงือกสีม่วงเข้มหรือคล้ำมักเป็นสัญญาณว่า สัตว์เลี้ยงกำลังขาดออกซิเจน (Hypoxia) ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหรือหัวใจ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสารพิษที่ทำลายเม็ดเลือดแดง
สัญญาณร่วมอื่นๆ:
  • หายใจลำบาก
  • ชีพจรอ่อนหรือผิดปกติ
สิ่งที่ควรทำ:
  • รีบพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน เพราะภาวะนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
4. สีแดงเข้ม
เหงือกสีแดงเข้มอาจบ่งบอกถึงปัญหา เช่น
  • เหงือกอักเสบ (Gingivitis): เกิดจากการสะสมของคราบหินปูนและแบคทีเรีย
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อที่ลุกลาม
  • ภาวะฮีทสโตรก (Heatstroke): อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปจนทำให้ระบบต่างๆ ล้มเหลว
สัญญาณร่วมอื่นๆ:
  • น้ำลายเหนียว
  • หอบหนัก
  • ร่างกายร้อนผิดปกติ
สิ่งที่ควรทำ:
  • หากเหงือกของสัตว์เลี้ยงแดงเข้มผิดปกติ ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน
5. สีเหลือง
เหงือกที่มีสีเหลืองมักเป็นสัญญาณของ ภาวะดีซ่าน (Jaundice) ซึ่งเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับตับหรือระบบเลือด เช่น โรคตับอักเสบ การติดเชื้อ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
สัญญาณร่วมอื่นๆ:
  • ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลือง
  • อาเจียนหรือเบื่ออาหาร
สิ่งที่ควรทำ:
  • การตรวจเลือดและอัลตราซาวด์อาจจำเป็นในการวินิจฉัย ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษา
วิธีตรวจสอบเหงือกของสัตว์เลี้ยง
  1. ตรวจสีเหงือก:
    • เปิดริมฝีปากของสัตว์เลี้ยงเบาๆ
    • สังเกตสีและความชุ่มชื้นของเหงือก
  2. กดเหงือก:
    • ใช้นิ้วกดเบาๆ ที่เหงือกแล้วปล่อย
    • เหงือกควรกลับมาเป็นสีชมพูใน 1-2 วินาที หากนานกว่านั้นอาจมีปัญหากับการไหลเวียนเลือด
  3. สังเกตความผิดปกติ:
    • ความแห้ง ความเหนียว หรือแผลที่เหงือกก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
การตรวจสอบสีเหงือกของสัตว์เลี้ยงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถติดตามสุขภาพของพวกเขาได้ หากพบความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์โดยเร็วเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจลุกลาม
จำไว้ว่า: สีเหงือกที่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญในการดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่กับคุณไปนานๆ 🐾
433374411_891231603012688_3744916304635260885_n.jpg

เลือกพันธุ์สุนัขตามราศี

คู่หูที่ใช่สำหรับคุณ

การเลือกสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะน้องหมา อาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความใส่ใจ เพราะแต่ละพันธุ์มีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน หากคุณยังลังเลว่าจะเลือกน้องหมาพันธุ์ไหนดี ลองพิจารณาราศีเกิดของคุณดูสิ! เพราะตามหลักโหราศาสตร์ ราศีของเรามีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและความต้องการในชีวิต การเลือกพันธุ์สุนัขที่สอดคล้องกับราศีจึงอาจช่วยให้คุณและน้องหมาอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว

🐾 Aries (ราศีเมษ) : 16 เม.ย. - 15 พ.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: เยอรมัน เชพเพิร์ด
ชาวราศีเมษมีความกล้าหาญ มุ่งมั่น และพลังล้นเหลือ เช่นเดียวกับเยอรมัน เชพเพิร์ด สุนัขสายพันธุ์นี้มีความฉลาด คล่องแคล่ว และซื่อสัตย์ จึงเหมาะกับชาวราศีเมษที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือกำลังมองหาเพื่อนที่พร้อมจะลุยไปกับพวกเขา

🐾 Taurus (ราศีพฤษภ) : 16 พ.ค. - 15 มิ.ย.
น้องหมาที่เหมาะ: เฟรนช์ บูลด็อก
ราศีพฤษภรักความสบายและความสงบ เฟรนช์ บูลด็อกก็เป็นสุนัขที่น่ารัก อารมณ์ดี และเหมาะกับการเป็นเพื่อนร่วมชีวิตในบ้าน เฟรนช์ บูลด็อกยังมีขนาดตัวที่พอเหมาะ เหมาะสำหรับชาวพฤษภที่รักความเรียบง่าย

🐾 Gemini (ราศีเมถุน) : 16 มิ.ย. - 15 ก.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: บิชอง ฟริเซ
ชาวราศีเมถุนมักมีความขี้เล่นและกระตือรือร้น เช่นเดียวกับบิชอง ฟริเซ น้องหมาที่น่ารักและร่าเริง พันธุ์นี้ชอบเข้าสังคมและเป็นมิตรกับทุกคน เหมาะสำหรับชาวเมถุนที่ต้องการเพื่อนซี้ขี้เล่นที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างในทุกกิจกรรม

🐾 Cancer (ราศีกรกฎ) : 16 ก.ค. - 15 ส.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: ร็อตไวเลอร์
ชาวกรกฎมักมีความรักและความอบอุ่นในหัวใจ ร็อตไวเลอร์เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์และรักครอบครัวอย่างแท้จริง แม้ว่าภายนอกจะดูดุดัน แต่พวกเขากลับมีจิตใจอ่อนโยนและรักเจ้าของสุดหัวใจ เหมาะสำหรับชาวกรกฎที่มองหาความมั่นคงและการปกป้อง

🐾 Leo (ราศีสิงห์) : 16 ส.ค. - 15 ก.ย.
น้องหมาที่เหมาะ: ปั๊ก
ชาวราศีสิงห์มีความมั่นใจและชอบเป็นจุดสนใจ เช่นเดียวกับปั๊กที่มีบุคลิกขี้อ้อนและมักทำให้ทุกคนหลงรัก สุนัขพันธุ์นี้เหมาะกับชาวสิงห์ที่ชอบความสนุกและต้องการเพื่อนที่เติมเต็มความสุขในทุกวัน

🐾 Virgo (ราศีกันย์) : 16 ก.ย. - 15 ต.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: คอร์กี้
ชาวราศีกันย์รักความเป็นระเบียบและใส่ใจในรายละเอียด คอร์กี้เป็นสุนัขที่ฉลาด รักความสนุก และมีบุคลิกน่ารักเหมาะกับชาวกันย์ที่ต้องการสุนัขที่มีพลังและความฉลาดเฉลียว

🐾 Libra (ราศีตุลย์) : 16 ต.ค. - 15 พ.ย.
น้องหมาที่เหมาะ: นิวฟาวแลนด์
ชาวราศีตุลย์รักความสมดุลและความสงบ นิวฟาวแลนด์เป็นสุนัขที่อ่อนโยน ใจดี และชอบช่วยเหลือผู้อื่น เหมาะกับชาวตุลย์ที่มองหาคู่หูที่เข้าใจและเติมเต็มความสงบในชีวิต

🐾 Scorpio (ราศีพิจิก) : 16 พ.ย. - 15 ธ.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: พิทบูล
ชาวราศีพิจิกมีความมั่นใจและจงรักภักดี เช่นเดียวกับพิทบูล สุนัขที่รักเจ้าของและปกป้องอย่างสุดหัวใจ แม้ว่าพิทบูลอาจดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขาก็อ่อนโยนเมื่ออยู่กับครอบครัว เหมาะสำหรับชาวพิจิกที่มองหาความท้าทายและความรักที่แท้จริง

🐾 Sagittarius (ราศีธนู) : 16 ธ.ค. - 15 ม.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: ไซบีเรียน ฮัสกี้
ราศีธนูชอบการผจญภัยและความสนุก ไซบีเรียน ฮัสกี้จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือและความรักอิสระ น้องหมาพันธุ์นี้เหมาะสำหรับคนที่พร้อมจะลุยและออกไปผจญภัยในทุกที่

🐾 Capricorn (ราศีมังกร) : 16 ม.ค. - 15 ก.พ.
น้องหมาที่เหมาะ: ชิบะ อินุ
ชาวราศีมังกรมีความมุ่งมั่นและรักความเป็นส่วนตัว ชิบะ อินุเป็นสุนัขที่ฉลาด อิสระ และมีเสน่ห์ในตัวเอง เหมาะกับชาวมังกรที่ต้องการสุนัขที่เข้าใจความเป็นตัวของตัวเอง

🐾 Aquarius (ราศีกุมภ์) : 16 ก.พ. - 15 มี.ค.
น้องหมาที่เหมาะ: ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
ชาวราศีกุมภ์มีความเป็นมิตรและรักการช่วยเหลือ ลาบราดอร์เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ เป็นมิตร และชอบเข้าสังคม เหมาะสำหรับชาวกุมภ์ที่ต้องการเพื่อนที่พร้อมจะเติมเต็มความสุขในทุกๆ วัน

🐾 Pisces (ราศีมีน) : 16 มี.ค. - 15 เม.ย.
น้องหมาที่เหมาะ: มอลทีส
ราศีมีนมักมีความอ่อนโยนและจินตนาการสูง มอลทีสเป็นสุนัขขนาดเล็กที่มีขนสวยงามและบุคลิกอ่อนหวาน เหมาะกับชาวราศีมีนที่รักความสงบและความน่ารักแบบละมุน

 

การเลือกน้องหมาตามราศีไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณพบคู่หูที่เหมาะสม แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้าของและสุนัข อย่าลืมว่าไม่ว่าพวกเขาจะมาจากพันธุ์ใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรักและการดูแลที่คุณมอบให้ 🐶💖

สุนัขนำโชคตามตำราพรหมชาติ

ความเชื่อที่เชื่อมโยงสัตว์เลี้ยงกับชีวิต

ในวัฒนธรรมไทย สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนคลายเหงา แต่ยังถูกมองว่าเป็นสิ่งมงคลที่ช่วยเสริมดวงชะตาและโชคลาภให้กับเจ้าของ โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยม มีความเชื่อที่กล่าวถึงลักษณะของสุนัขนำโชคในตำราพรหมชาติ ซึ่งเป็นตำราที่ใช้พยากรณ์ดวงชะตาและความเป็นไปในชีวิต บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักลักษณะของสุนัขนำโชคที่เชื่อว่าจะช่วยเสริมด้านการเงิน ความมั่งคั่ง และปกป้องคุ้มครองจากสิ่งไม่ดี

🐾 สุนัขที่ให้โชคด้านการเงิน ร่ำรวยเงินทอง
 

ตามตำราพรหมชาติ เชื่อว่าสุนัขบางลักษณะสามารถดึงดูดโชคลาภและเสริมฐานะทางการเงินให้เจ้าของได้ ลักษณะเหล่านี้ประกอบด้วย:

สุนัขที่มีสีขาว เท้าทั้งสี่มีด่างดำ
สุนัขที่มีลักษณะขนสีขาวสะอาดตา และมีจุดด่างดำที่เท้าทั้งสี่ข้าง เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของความสมดุลในชีวิต นำมาซึ่งความมั่งคั่งและโชคลาภ

สุนัขที่มีขนสีเหลือง เท้าทั้งสี่สีขาวล้วน
สุนัขที่มีขนสีเหลืองและเท้าสีขาวสะอาดทั้งสี่ข้าง ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมโชคลาภด้านทรัพย์สิน

สุนัขที่มีปากขาว ขนสวย
สุนัขที่มีลักษณะปากสีขาวและขนที่สวยงามไร้ที่ติ เชื่อว่าเป็นสุนัขที่ช่วยเรียกทรัพย์ และทำให้เจ้าของมีโชคด้านการเงิน

สุนัขที่มีสิบเก้าเล็บ ทั้งตัวสวยไร้ตำหนิ
ลักษณะเด่นอีกข้อหนึ่งคือสุนัขที่มีเล็บครบสิบเก้าชิ้น ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์พิเศษ นำมาซึ่งโชคลาภที่ไม่ขาดสาย

🐾 สุนัขที่ให้โชคดี คุ้มครองแคล้วคลาดจากสิ่งไม่ดี

นอกจากโชคลาภทางการเงินแล้ว ยังมีลักษณะของสุนัขที่เชื่อว่าจะช่วยปกป้องเจ้าของจากสิ่งไม่ดี และนำมาซึ่งความปลอดภัย ความสงบสุขในชีวิต:

สุนัขที่มีขนสีขาวแดง (ขาวและน้ำตาลแดง) ปะปน

สุนัขที่มีขนผสมสีขาวและน้ำตาลแดง แสดงถึงความกล้าหาญและความจงรักภักดี เชื่อว่าสุนัขลักษณะนี้จะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และคุ้มครองให้เจ้าของปลอดภัย

สุนัขที่มีปลายหางเป็นสีขาว เล็บเท้าขาวทุกเล็บ

หากสุนัขของคุณมีปลายหางสีขาวและเล็บเท้าขาวครบทุกเล็บ นั่นถือว่าเป็นลักษณะที่ดีตามตำรา สุนัขแบบนี้เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ที่ช่วยปกป้องเจ้าของจากอันตรายและสิ่งไม่ดี

❤️ การเชื่อมโยงความเชื่อกับการดูแลสัตว์เลี้ยง
แม้ว่าลักษณะนำโชคของสุนัขตามตำราพรหมชาติจะเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงสัตว์คือความรัก ความเอาใจใส่ และการดูแลอย่างเหมาะสม ไม่ว่าสุนัขจะมีลักษณะตามตำราหรือไม่ พวกเขายังเป็นเพื่อนแท้ที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเรา

หากคุณกำลังมองหาสุนัขที่จะนำโชคดีและความสุขมาสู่บ้านของคุณ อย่าลืมพิจารณานิสัยและความต้องการของสุนัขแต่ละพันธุ์ด้วย เพื่อให้คุณและน้องหมาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

431741513_888480499954465_6774839179864796999_n.jpg

ฮีทสโตรกในแมว 🔥

ภัยร้ายที่เจ้าของต้องรู้จักและป้องกัน

ฤดูร้อนในประเทศไทยมักมาพร้อมกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงจนเกินจะทนได้ ไม่เพียงแต่คนที่ต้องเผชิญกับความร้อนอบอ้าว แต่สัตว์เลี้ยงอย่างแมวก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหา "ฮีทสโตรก" หรือโรคลมแดด ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับฮีทสโตรกในแมว พร้อมวิธีสังเกตและการป้องกันเพื่อให้คุณสามารถดูแลเพื่อนขนฟูได้อย่างดีที่สุด

❓ ฮีทสโตรกคืออะไร

ฮีทสโตรก (Heatstroke) คือภาวะที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนไม่สามารถปรับตัวหรือระบายความร้อนได้ ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส ในแมวที่ต้องเจอกับอากาศร้อนอบอ้าว ร่างกายจะพยายามระบายความร้อนด้วยการเลียขนหรือหอบ แต่เมื่อไม่สามารถลดอุณหภูมิได้ทัน ระบบภายใน เช่น หัวใจ ไต สมอง และปอด อาจได้รับความเสียหาย และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การเสียชีวิต

🐾 วิธีสังเกตอาการฮีทสโตรกในแมว

เลียขนบ่อย
แมวจะเลียขนเพื่อช่วยระบายความร้อนในร่างกาย แต่หากเลียขนบ่อยผิดปกติ ควรเริ่มสังเกตอาการอื่นๆ เพิ่มเติม

 

กระวนกระวาย
แมวที่รู้สึกไม่สบายตัวจากความร้อนอาจมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น เดินวนไปมา หรือร้องบ่อย

 

ลิ้นและปากแดง
ลิ้นหรือเหงือกของแมวที่มีสีแดงสดเกินไปอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่มร้อนจัด

 

อาเจียน
เมื่อร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนได้ อาจทำให้แมวอาเจียนหรือมีอาการคลื่นไส้

 

เหงื่อออกที่อุ้งเท้า
แมวระบายความร้อนผ่านเหงื่อที่อุ้งเท้า หากสัมผัสแล้วพบว่าอุ้งเท้าชื้นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของฮีทสโตรก

 

เดินเซ อ่อนเพลีย
ความร้อนทำให้ร่างกายอ่อนล้าและส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้แมวเดินเซหรือทรงตัวไม่ดี

 

หอบหรือหายใจเร็ว
แมวที่พยายามระบายความร้อนจะหายใจเร็วหรือหอบ หากมีอาการนี้ร่วมกับอาการอื่นๆ ควรรีบช่วยเหลือทันที

 

อุณหภูมิร่างกายสูง
หากวัดอุณหภูมิแล้วพบว่าร่างกายแมวสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส ควรรีบหาวิธีลดอุณหภูมิ

 

เลียขนบ่อย
แมวจะเลียขนเพื่อช่วยระบายความร้อนในร่างกาย แต่หากเลียขนบ่อยผิดปกติ ควรเริ่มสังเกตอาการอื่นๆ เพิ่มเติม

 

กระวนกระวาย
แมวที่รู้สึกไม่สบายตัวจากความร้อนอาจมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น เดินวนไปมา หรือร้องบ่อย

 

ลิ้นและปากแดง
ลิ้นหรือเหงือกของแมวที่มีสีแดงสดเกินไปอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่มร้อนจัด

 

อาเจียน
เมื่อร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนได้ อาจทำให้แมวอาเจียนหรือมีอาการคลื่นไส้

 

เหงื่อออกที่อุ้งเท้า
แมวระบายความร้อนผ่านเหงื่อที่อุ้งเท้า หากสัมผัสแล้วพบว่าอุ้งเท้าชื้นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของฮีทสโตรก

 

เดินเซ อ่อนเพลีย
ความร้อนทำให้ร่างกายอ่อนล้าและส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้แมวเดินเซหรือทรงตัวไม่ดี

 

หอบหรือหายใจเร็ว
แมวที่พยายามระบายความร้อนจะหายใจเร็วหรือหอบ หากมีอาการนี้ร่วมกับอาการอื่นๆ ควรรีบช่วยเหลือทันที

 

อุณหภูมิร่างกายสูง
หากวัดอุณหภูมิแล้วพบว่าร่างกายแมวสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส ควรรีบหาวิธีลดอุณหภูมิ

 

 

🛡 วิธีรับมือและป้องกันฮีทสโตรกในแมว


พาแมวอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท
หลีกเลี่ยงการปล่อยแมวไว้ในที่อากาศร้อน เช่น ในรถหรือพื้นที่ไม่มีลม

ใช้พัดลมหรือแอร์ช่วย
การเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศสามารถช่วยลดอุณหภูมิในห้องและทำให้แมวสบายขึ้น

หลีกเลี่ยงการจับอาบน้ำ
แมวอาจเครียดหากถูกจับอาบน้ำ ใช้วิธีเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำแทน โดยเน้นที่บริเวณศีรษะ ท้อง และอุ้งเท้า

วางน้ำดื่มไว้ให้ตลอดเวลา
แมวควรมีน้ำดื่มสะอาดและเย็นตลอดเวลา หากแมวไม่ยอมดื่มน้ำ ให้ช่วยป้อนน้ำด้วยไซริงค์

มีที่นอนเย็นๆ ให้น้อง
การจัดเตรียมที่นอนเจลเย็น หรือบ้านดินเผาที่ช่วยเก็บความเย็น จะช่วยให้แมวรู้สึกสบาย

สังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด
หากแมวเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่ารอช้า ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

💡 เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของแมวในหน้าร้อน
ใช้พัดลมวางต่ำ: เพื่อให้ลมเย็นกระจายถึงตัวแมว
เลี่ยงช่วงเวลาร้อนจัด: อย่าปล่อยให้แมวอยู่กลางแดดในช่วงเวลาเที่ยงถึงบ่าย
เตรียมเจลเย็นหรือแผ่นเจล: วางในจุดที่แมวชอบนอนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิ

🐱 ฮีทสโตรกในแมวเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนจัด การดูแลแมวให้มีสภาพแวดล้อมที่เย็นสบาย มีน้ำดื่ม และพื้นที่ถ่ายเทอากาศเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของฮีทสโตรก ควรรีบดำเนินการช่วยเหลือและพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน เพื่อให้เพื่อนขนฟูของคุณปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดีในทุกฤดู 🐾✨

431837652_886601896808992_9073770235662763639_n.jpg

9 ข้อดีของการทำหมันน้องแมว

ความรักที่มาพร้อมความรับผิดชอบ 🐾✨

หลายคนอาจมีความเชื่อว่าการทำหมันน้องแมวเป็นการทรมานพวกเขา แต่ความจริงแล้ว การทำหมันเป็นการช่วยให้แมวมีชีวิตที่มีคุณภาพดีขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ และลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นี่คือ 9 เหตุผลสำคัญที่ทำให้การทำหมันน้องแมวเป็นเรื่องที่ควรพิจารณา

1. อายุยืนขึ้น ช่วยให้น้องสุขภาพดีขึ้น
การทำหมันช่วยลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคมดลูกอักเสบในแมวเพศเมีย หรือโรคต่อมลูกหมากในแมวเพศผู้ แมวที่ทำหมันมักมีอายุยืนยาวขึ้นเพราะมีสุขภาพที่ดีกว่า

2. ลดโอกาสเกิดโรค โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
แมวเพศเมียที่ไม่ได้ทำหมันอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มดลูกอักเสบ หรือเนื้องอกในรังไข่ ส่วนแมวเพศผู้ที่ไม่ได้ทำหมันอาจเกิดปัญหาต่อมลูกหมากโตหรืออักเสบ การทำหมันช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ได้อย่างมาก

3. ลดความก้าวร้าว
แมวเพศผู้ที่ไม่ได้ทำหมันมักมีพฤติกรรมก้าวร้าว โดยเฉพาะเมื่อมีแมวตัวอื่นเข้ามาในอาณาเขต การทำหมันช่วยลดฮอร์โมนที่กระตุ้นให้แมวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว แม้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละตัว แต่ส่วนใหญ่จะสงบและเป็นมิตรมากขึ้น

4. ลดจำนวนแมวจรจัด
หนึ่งในปัญหาสำคัญของการไม่ทำหมันคือการเพิ่มจำนวนแมวจรจัด แมวที่ไม่ได้ทำหมันสามารถมีลูกได้หลายครอกในแต่ละปี การทำหมันช่วยลดจำนวนแมวจรที่ต้องเผชิญกับความลำบากและขาดการดูแลที่เหมาะสม

5. ลดการทรมานจากการติดสัด
แมวเพศเมียที่ไม่ได้ทำหมันจะเข้าสู่ช่วงติดสัดซึ่งเป็นภาวะที่ทรมานสำหรับพวกเขา และอาจทำให้พวกเขาแสดงพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ร้องเสียงดังหรือพยายามหนีออกจากบ้าน การทำหมันช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องเผชิญกับความไม่สบายนี้

6. ลดการสร้างอาณาเขตด้วยการฉี่ไปทั่ว
แมวเพศผู้ที่ไม่ได้ทำหมันมักมีพฤติกรรมฉี่เพื่อสร้างอาณาเขต ซึ่งมักเป็นปัญหาสำหรับเจ้าของ เพราะกลิ่นฉี่ของแมวตัวผู้แรงมาก การทำหมันช่วยลดพฤติกรรมนี้ได้อย่างชัดเจน

7. ลดการหนีออกจากบ้าน
แมวที่ไม่ได้ทำหมันมักมีความต้องการผสมพันธุ์ ทำให้พวกเขามักหนีออกจากบ้านเพื่อไปหาคู่ การทำหมันช่วยลดพฤติกรรมนี้ ทำให้แมวติดบ้านมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากอันตรายภายนอก เช่น อุบัติเหตุหรือการต่อสู้กับแมวตัวอื่น

8. ป้องกันการตั้งท้องโดยไม่ตั้งใจ
การมีลูกแมวเป็นเรื่องที่น่ารัก แต่ก็ต้องมีความพร้อมในด้านการดูแล การทำหมันช่วยป้องกันการตั้งท้องที่ไม่ได้วางแผนไว้ ทำให้คุณสามารถเลี้ยงดูแมวได้อย่างเหมาะสม และไม่ต้องเผชิญกับภาระที่เกินความสามารถ

9. ค่าใช้จ่ายไม่แพงและป้องกันปัญหาในอนาคต
การทำหมันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคตที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เช่น การรักษาโรคมดลูกอักเสบ หรือการผ่าตัดเนื้องอก การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ

💡 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำหมัน
แมวควรได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งก่อนและหลังการทำหมัน
ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำหมัน
แมวที่ทำหมันอาจต้องการการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากอาจมีแนวโน้มที่จะกินมากขึ้น

🐾 การทำหมันน้องแมวไม่ใช่การทรมาน

แต่เป็นการช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น นอกจากจะช่วยลดปัญหาสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดปัญหาแมวจรจัดและป้องกันพฤติกรรมที่อาจสร้างปัญหาในบ้าน
 

431360621_883697987099383_4024985851129703503_n.jpg

น้องไก่ป่วย 🐔❤️

ดูแลเบื้องต้นอย่างไรให้ปลอดภัย

การเลี้ยงไก่เป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไก่เป็นสัตว์ที่ไวต่อสภาพแวดล้อมและโรคต่างๆ หากพบว่าไก่ที่บ้านป่วย การดูแลเบื้องต้นอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้น้องฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และหากอาการไม่ดีขึ้น การพาไปพบสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

นี่คือ 5 วิธีดูแลไก่ป่วยเบื้องต้น ที่ BMH แนะนำสำหรับเจ้าของไก่ทุกคน

1. แยกไก่ป่วยออกจากฝูงทันที
ไก่ป่วยอาจแพร่เชื้อไปยังไก่ตัวอื่นในฝูงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากเป็นโรคติดเชื้อ การแยกไก่ป่วยออกจากฝูงไม่เพียงช่วยปกป้องไก่ตัวอื่น แต่ยังทำให้เราสามารถดูแลไก่ป่วยได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น

คำแนะนำ:

จัดพื้นที่สำหรับกักตัวไก่ป่วยที่สะอาดและมีอากาศถ่ายเท ใช้กรงหรือพื้นที่แยกออกจากฝูงไก่เดิมโดยสิ้นเชิง


2. ให้น้ำไก่ทันที ป้องกันการขาดน้ำ
อาการป่วยมักทำให้ไก่เบื่ออาหารและน้ำ หากปล่อยให้น้องไก่ขาดน้ำอาจทำให้เกิดภาวะช็อคหรืออาการทรุดหนักขึ้นได้ การให้น้ำทันทีที่พบอาการป่วยจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สูตรน้ำตาลทราย:

- น้ำสะอาด 1 แก้ว (ประมาณ 250 มิลลิลิตร)
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ละลายให้เข้ากัน
วิธีให้:

ใช้ไซริงค์หรือหลอดหยดค่อยๆ ป้อนน้ำผสมน้ำตาล เพื่อช่วยเติมพลังงานและลดความเสี่ยงจากภาวะขาดน้ำ


3. ป้อนอาหารอ่อนที่ป้อนผ่านไซริงค์ได้
ไก่ป่วยมักเบื่ออาหารและอ่อนแรง การให้อาหารที่ย่อยง่ายและสามารถป้อนได้โดยตรงจะช่วยให้น้องไก่ได้รับพลังงานเพียงพอ

ตัวอย่างอาหารอ่อน:

- ข้าวบดผสมน้ำ
- อาหารไก่ชนิดผงผสมกับน้ำจนเป็นเนื้อเหลว
วิธีป้อน:

ใช้ไซริงค์ดูดอาหารอ่อนขึ้นมา และค่อยๆ ป้อนให้ไก่กินทีละน้อย ระวังอย่าป้อนเร็วเกินไปเพราะอาจทำให้สำลัก


4. เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยกระเทียมสับ
กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ไก่ การให้กระเทียมสับสามารถช่วยให้น้องไก่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

วิธีใช้:

กระเทียมสับ 1 หัว (ขนาดเล็ก) ผสมกับน้ำสะอาดและป้อนให้ไก่กิน หรือใส่ในน้ำดื่มที่เตรียมไว้


5. พาน้องไก่ไปพบสัตวแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น
หากลองดูแลตามขั้นตอนเบื้องต้นแล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง เช่น ไม่สามารถยืนได้ เบื่ออาหารอย่างรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง การพาน้องไปพบสัตวแพทย์คือสิ่งที่ควรทำ

💡 เคล็ดลับเพิ่มเติมในการดูแลไก่ป่วย


รักษาความสะอาดในพื้นที่กักตัว:

ทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์ให้น้ำ/อาหารทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค


ตรวจสอบสุขภาพไก่อย่างสม่ำเสมอ:

หากมีไก่ตัวอื่นเริ่มแสดงอาการป่วย ควรรีบแยกตัวทันที


ปรับอาหารให้เหมาะสม: เลือกอาหารที่ย่อยง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง


🐔 การดูแลไก่ป่วยตั้งแต่ระยะแรกเริ่มคือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้น้องฟื้นตัวได้เร็วและลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อในฝูง การแยกตัวไก่ป่วย ดูแลเรื่องน้ำและอาหาร รวมถึงการเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยสมุนไพรอย่างกระเทียม เป็นวิธีเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองที่บ้าน แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อย่ารอช้าที่จะพาน้องไปพบสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะความช่วยเหลือที่รวดเร็วอาจช่วยชีวิตน้องไก่ไว้ได้ 🐓❤️✨
ที่ BMH เรามีสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน EXOTIC PET ที่พร้อมให้การดูแลไก่และสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง การตรวจและวินิจฉัยอย่างทันท่วงทีช่วยเพิ่มโอกาสให้น้องไก่ฟื้นตัวได้

น้องหมาควรอาบน้ำบ่อยแค่ไหน? 

ดูแลให้เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของต้าวปุย 🐾💦

การอาบน้ำน้องหมาเป็นส่วนสำคัญในการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ไม่ควรมองข้าม ไม่เพียงช่วยให้พวกเขาสะอาด สดชื่น และลดกลิ่นอับ แต่ยังช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของน้องหมา อย่างไรก็ตาม การอาบน้ำที่มากเกินไปหรือไม่เหมาะสมอาจทำให้ผิวหนังแห้ง เกิดการระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของจึงควรรู้จักความถี่ที่เหมาะสมในการอาบน้ำ รวมถึงวิธีการดูแลหลังการอาบน้ำเพื่อให้น้องหมามีสุขภาพดีและขนเงางามอยู่เสมอ
 

❓ น้องหมาควรอาบน้ำบ่อยแค่ไหน?
ความถี่ในการอาบน้ำของน้องหมาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สายพันธุ์ ลักษณะผิวหนัง และวิถีชีวิตของน้อง แต่โดยทั่วไปคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำคือ:

น้องหมาทั่วไป: ควรอาบน้ำทุก 2 สัปดาห์ หรือประมาณ 1 ครั้งต่อเดือน
น้องหมาขนสั้น: อาจอาบน้ำได้ทุก 2-4 สัปดาห์ เนื่องจากขนสั้นไม่กักเก็บสิ่งสกปรกมาก
น้องหมาขนยาว: ควรดูแลเรื่องความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยอาบน้ำทุก 2-3 สัปดาห์
น้องหมาที่มีผิวหนังบอบบาง: หากมีโรคผิวหนังหรือปัญหาแพ้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับความถี่ที่เหมาะสม


หมายเหตุ: หากน้องหมามีกลิ่นตัวแรงหรือเลอะคราบสกปรกจากกิจกรรมต่างๆ ควรอาบน้ำเพิ่มเติมตามความจำเป็น

🐕‍🦺 ผลกระทบจากการอาบน้ำบ่อยเกินไป


ผิวแห้งและระคายเคือง: การอาบน้ำบ่อยเกินไปจะล้างน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผิวหนังออกไป ทำให้ผิวแห้งและเกิดอาการคัน


เสี่ยงต่อเชื้อรา: หากขนของน้องหมาไม่ได้รับการเป่าให้แห้งสนิทหลังอาบน้ำ อาจเกิดความชื้นสะสมที่ทำให้เชื้อราเจริญเติบโต


ความเครียด: น้องหมาบางตัวอาจรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจหากถูกอาบน้ำบ่อยเกินไป

🛁 วิธีอาบน้ำให้น้องหมาอย่างถูกต้อง


เลือกแชมพูที่เหมาะสม: ใช้แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ปราศจากสารเคมีรุนแรง และเลือกสูตรที่เหมาะกับผิวหนังและขนของน้อง


ใช้น้ำอุ่น: น้ำที่อุ่นกำลังดีช่วยให้น้องหมารู้สึกสบายตัวมากขึ้น


ล้างให้สะอาด: ล้างแชมพูออกให้หมดเพื่อป้องกันการตกค้างที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง


เป่าขนให้แห้ง: ใช้ไดร์เป่าลมอุ่นเป่าขนให้แห้งสนิท โดยเน้นบริเวณที่หนาแน่น เช่น ขาและท้อง


ตรวจสุขภาพผิวหนังและขน: สังเกตดูว่ามีผื่นแดง รอยคัน หรือกลิ่นผิดปกติหรือไม่

💡 เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการดูแลน้องหมา


แปรงขนระหว่างอาบน้ำ: ช่วยลดปัญหาขนพันกัน และกระตุ้นน้ำมันธรรมชาติในผิวหนัง


หมั่นตรวจหาหมัดและเห็บ: โดยเฉพาะหลังการอาบน้ำหรือเล่นนอกบ้าน


เลี่ยงอาบน้ำในอากาศเย็นจัด: เพื่อป้องกันน้องหมาเป็นหวัด

🐾 หากอาบน้ำไม่เก่ง แนะนำบริการอาบน้ำจากผู้เชี่ยวชาญ
การอาบน้ำให้น้องหมาอาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่การดูแลให้น้องสะอาดหมดจดและแห้งสนิทก็ต้องใช้ทักษะและความใส่ใจ หากคุณรู้สึกว่าการอาบน้ำด้วยตัวเองอาจไม่เหมาะสม หรือกลัวทำให้ผิวหนังของน้องเกิดปัญหา แนะนำให้พาน้องไปอาบน้ำที่คลินิกหรือร้านบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล

บริการที่น้องหมาจะได้รับที่ BMH:

อาบน้ำด้วยแชมพูบำรุงผิวหนังและขน: ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง
นวดผ่อนคลาย: เพื่อให้น้องรู้สึกสบายและผ่อนคลายจากความเครียด
ตัดแต่งเล็บ: ช่วยลดโอกาสที่น้องจะเล็บฉีกหรือข่วนตัวเองจนเกิดแผล
ฉีดน้ำหอมสำหรับสัตว์เลี้ยง: ให้ตัวหอมสะอาด สดชื่น

Pet Taxi: บริการรับ-ส่ง สำหรับเจ้าของที่ไม่สะดวกเดินทาง

การอาบน้ำให้น้องหมาอย่างเหมาะสมช่วยเสริมสุขภาพผิวหนัง ลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค และทำให้น้องรู้สึกสดชื่นและสบายตัว หากคุณไม่มั่นใจในการอาบน้ำด้วยตัวเอง การใช้บริการจากคลินิกที่มีผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าน้องหมาจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เพราะน้องหมาคือสมาชิกสำคัญในครอบครัว เราจึงควรดูแลพวกเขาให้สะอาด แข็งแรง และมีความสุขในทุกๆ วัน 🐶✨

428676807_878615704274278_1073780763369523640_n.jpg

ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

หางน้องหมาเป็นเรดาร์บอกอารมณ์ 💚

น้องหมาอาจพูดไม่ได้เหมือนมนุษย์ แต่พวกเขามีภาษากายที่ช่วยบอกเล่าอารมณ์และความรู้สึกให้เราได้เข้าใจ โดยเฉพาะ หาง ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงออกได้ชัดเจนที่สุด หางของน้องหมาสามารถสื่อสารได้หลากหลายอารมณ์ ตั้งแต่ความสุข ความกลัว ไปจนถึงการเตือนภัย การสังเกตท่าทางของหางน้องหมาจะช่วยให้เจ้าของเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่า หางของน้องหมา แต่ละท่าทางกำลังบอกอะไรเราอยู่!

1. ปกติ: หางตรง ตกเล็กน้อย
เมื่อหางของน้องหมาอยู่ในลักษณะปกติ ห้อยลงอย่างเป็นธรรมชาติ หรือตกเล็กน้อย หมายความว่าน้องกำลังรู้สึกสงบ สบายใจ และอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย

ลักษณะอื่นร่วม:

- เดินเล่นสบายๆ
- ดวงตาและหูดูผ่อนคลาย


2. อยากเล่นด้วย: ย่อตัวช่วงหน้าต่ำลง หางสะบัดไปมา
หากน้องหมาก้มตัวช่วงหน้าลงต่ำ หางสะบัดไปมาด้วยความเร็ว นั่นคือสัญญาณว่าเขาอยากเล่นด้วย! อาการนี้เรียกว่า "Play Bow" ซึ่งเป็นท่าทางเชิญชวนให้เจ้าของหรือเพื่อนเล่นสนุกไปด้วยกัน

ลักษณะอื่นร่วม:

- ดวงตาสดใส
- หูตั้งตรง หรือขยับเล็กน้อย


3. ระวังตัว: ย่อตัวช่วงหลังต่ำ หางตรงเฉียงลงพื้น
เมื่อน้องหมากำลังระวังตัว หางของพวกเขามักจะตรงเฉียงลงพื้น และตัวจะอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อม นี่คือสัญญาณว่าพวกเขากำลังจับตาดูบางสิ่งบางอย่างอย่างใกล้ชิด

ลักษณะอื่นร่วม:

- หูตั้งขึ้นหรือขยับตามเสียง
- ดวงตาจ้องมองสิ่งที่เขากำลังระวัง


4. กังวล, ทุกข์: ปลายหูลู่ลง หางลงต่ำ
เมื่อไหร่ก็ตามที่น้องหมารู้สึกกังวลหรือทุกข์ใจ หางจะลดต่ำลงหรืออาจตกอยู่ในลักษณะไม่มั่นใจ

ลักษณะอื่นร่วม:

- หูลู่ลงด้านหลัง
- ดวงตาหลีกเลี่ยงการสบตา


5. กลัว: หางหดซุกอยู่ระหว่างขา
การซุกหางไว้ระหว่างขาเป็นสัญญาณของความกลัวที่ชัดเจนที่สุด น้องหมาอาจแสดงพฤติกรรมนี้เมื่อเจอสิ่งที่ทำให้ตกใจ เช่น เสียงดัง หรือเจอคนหรือสัตว์ที่เขาไม่คุ้นเคย

ลักษณะอื่นร่วม:

- ตัวสั่นเล็กน้อย
- หูลู่แนบกับศีรษะ


6. ดุร้าย: หางตั้งตรงและฟู
หางที่ตั้งตรงและขนฟูคือสัญญาณเตือนว่าเขากำลังรู้สึกดุร้ายหรือไม่พอใจ นี่คือท่าทางที่เจ้าของควรระวัง เพราะน้องหมาอาจกำลังปกป้องตัวเอง หรือรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม

ลักษณะอื่นร่วม:

- หูตั้งแน่น
- เสียงคำรามหรือเห่า


7. ยอมแพ้: นอนหงายกับพื้น หางอยู่ระหว่างหน้าท้อง
เมื่อไหร่ที่น้องหมานอนหงายและเอาหางซุกไว้กับหน้าท้อง แปลว่าเขากำลังแสดงความยอมแพ้ หรือยืนยันว่าเขาไม่ใช่ภัยคุกคาม

ลักษณะอื่นร่วม:

- มองหลีกเลี่ยงตา
- บางตัวอาจปล่อยฉี่เล็กน้อย


8. หิว: ก้มหัวต่ำ หางลดต่ำ
หากน้องหมาก้มหัวต่ำลงและหางลดต่ำ พร้อมกับแสดงอาการกระวนกระวาย อาจเป็นสัญญาณว่าเขากำลังหิวหรือรออาหารอยู่

ลักษณะอื่นร่วม:

- เลียปากบ่อยๆ
- เดินวนไปมา


9. ภัยกำลังมา: ปากอ้า หางม้วนขึ้นเล็กน้อย
น้องหมาที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เขารู้สึกว่ามีภัย หางจะม้วนขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับปากที่อ้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขากำลังตื่นตัว

ลักษณะอื่นร่วม:

- ดวงตาจับจ้อง
- ตัวแข็งทื่อ


ภาษาหางคือภาษาหัวใจ
หางของน้องหมาไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้เรารู้ถึงอารมณ์และความต้องการของพวกเขา การสังเกตท่าทางของหางน้องหมาอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เราสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

อย่าลืมว่าความรักและความใส่ใจที่เจ้าของมอบให้ จะช่วยให้น้องหมารู้สึกปลอดภัยและมีความสุขในทุกๆ วัน 🐕❤️✨

bottom of page